เทศน์เช้า วันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๕๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
อ้าว! ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ เพราะเราขวนขวายกันมา โลกร้อนๆ โลกมันกำลังจะสุก มันโดนอุณหภูมิแผดเผา ถ้าโลกมันจะสุก เราจะตัดเค้กแบ่งกันกินเนาะ อุณหภูมิมันเปลี่ยนแปลงไป เวลามันร้อน โลกนี้มันร้อนนัก มันจะสุก เวลาหน้าฝน น้ำจะท่วมโลก เวลาหน้าหนาว ดูสิ หน้าหนาว น้ำแข็งมันจะท่วมโลก นี่มันจินตนาการไปได้ทั้งนั้นน่ะ สิ่งที่จินตนาการไป ฤดูกาลมันเปลี่ยนแปลงของมันไป เวลามันเปลี่ยนแปลงของมันไป แต่มนุษย์เราต้องยืนอยู่บนโลกนี้ไง เราจะอยู่กับสังคมนี้ เราจะเผชิญกับสัจจะความจริงนี้ ถ้าสัจจะความจริงนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนเรา เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งเลย ถ้าเรามีคุณธรรมในหัวใจ สิ่งใดที่กระทบกระเทือนหัวใจเรา เราก็พอจะหลีกเลี่ยงมันได้ เราพอจะหลีกเลี่ยงได้นะ โลกนี้เป็นสมมุติ สิ่งใดเป็นอนิจจัง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา มันแปรสภาพของมันไปไง มันแปรสภาพของมันไป
ดูสิ เราสร้างสิ่งใดก็แล้วแต่ที่มันมีคุณงามความดีมากน้อยขนาดไหน มันจะเสื่อมสภาพของมันไปธรรมดา เว้นไว้อย่างเดียวเท่านั้นแหละ อกุปปธรรมๆ สัจธรรมในหัวใจอันนี้มันจะไม่แปรสภาพไปอันไหน ถ้าสัจธรรมอันนี้มันไม่แปรสภาพไปอันไหน มันถึงพ้นจากการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย เราไม่พ้นจากการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย ความเป็นจริงข้างหน้าคือเราต้องสิ้นชีวิตไปทั้งสิ้น ชีวิตเราต้องสิ้นไป สิ่งที่ชีวิตเราสิ้นไปแล้วเราจะมีสิ่งใดเป็นคุณสมบัติของเราไง
เกิดมากับโลกนี้ๆ เกิดมาพ่อแม่เลี้ยงดูมา พ่อแม่ให้โอกาสการศึกษามา พ่อแม่ให้หน้าที่การงานมา เรามีหน้าที่การงาน ทำหน้าที่การงานของเรา หาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องของเรา เรามีความสุขในหัวใจเราหรือไม่ ถ้าเราไม่มีสุขในหัวใจของเรา เวลาเราพลัดพรากจากโลกนี้ไปแล้วเราก็ต้องกลับมาเวียนซ้ำอีกใช่ไหม ถ้าเรากลับมาเวียนซ้ำ ถ้ากลับมาเวียนซ้ำ เราทำคุณงามความดีไว้ เกิดมา เกิดมาไม่ทุกข์ไม่ยากจนเกินไป เกิดมาไม่ทุกข์ไม่ยากจนเกินไป นี่บุญพาเกิดๆ ไง คนเราเกิดมามันทุกข์มันยาก เกิดมาพ่อแม่ก็เอาไปทิ้งถังขยะ พ่อแม่เอาไปทิ้งไว้ที่เลี้ยงเด็กกำพร้า นั่นไง เวลาเกิดมา เกิดมาก็ว้าเหว่ เกิดมาก็ทุกข์ ขาดความอบอุ่นนะ อยากกอด อยากเห็นพ่อ อยากเห็นแม่ก็ไม่ได้เห็น เวลามันทุกข์พาเกิดไง เวลาบุญมันพาเกิดนะ พาเกิดมันเกิดมาแล้วมันก็พอประทังชีวิตของมันไปได้ เวลาทุกข์พาเกิดๆ นะ เวลาทุกข์มันพาเกิดขึ้นมา เกิดมาเกิดมาเจ็บช้ำน้ำใจทั้งนั้นน่ะ มันบีบคั้นมาตลอดไป แล้วบีบคั้นขึ้นไป เราจะเอาอะไรแก้ล่ะ
ถ้าเรามีอำนาจวาสนา เราเติบโตมานะ เติบโตมาโดยนิสัย โดยวาสนาของเรา เราคัดแยกของเราได้ ถ้าเราเกิดมาโดยที่ไม่มีอำนาจวาสนานะ กิเลสมันบีบคั้นหัวใจของเราไปนะ สังคมมันก็บีบคั้นเรา สังคมรังแกเรา พ่อแม่รังแกเรา ทุกคนรังแกเรา แต่ความจริงไม่มีใครรังแกใครเลย กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน กรรมจำแนกให้เราเกิดมา ให้เรามีความรู้สึกนึกคิดอย่างนี้ไง จริตนิสัยของคน คนเกิดมาเป็นเด็กน้อย เกิดมาเป็นเด็กน้อยเขาก็มีความคิดดีของเขา ความคิดของเขา เขามีความคิดเป็นสาธารณะของเขา เด็กเกิดมาแต่เล็กแต่น้อยขึ้นมา นี่กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน กรรมจำแนกมา พันธุกรรมของจิตมันตัดแต่งมาให้เราคิดอย่างนี้ ให้เราคิดอย่างนี้ ให้เรามีความเห็นอย่างนี้ ถ้าเราคิดอย่างนี้ เรามีความเห็นอย่างนี้
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างสมบุญญาธิการมาเป็นพระโพธิสัตว์ๆ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปเห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย มันสะเทือนใจไง มันต้องมีฝั่งตรงข้ามไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายิ่งกว่านักวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ชีวิตนี้มาจากไหน ชีวิตนี้มาจากไหน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกถ้าคนมันต้องตาย มันต้องมีคนที่ไม่ตายได้ ถ้าที่ไม่ตายได้ ท่านก็แสวงหาของท่าน ท่านก็ค้นคว้าของท่าน ท่านค้นหาของท่านจนพบจนเจอ มันพบมันเจอเพราะอะไร เพราะเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไปบิณฑบาต ถ้ามีเวลาเหลือจะไปโต้แย้งกับพวกลัทธิต่างๆ เจ้าลัทธิต่างๆ พวกพราหมณ์ พวกพราหมณ์ก็ อาตมันๆ ชีวิตคงที่ไง ชีวิตคงที่ของเขา
ชีวิตคงที่ไม่มี สิ่งใดในโลกนี้ไม่มีอะไรคงที่ เว้นไว้แต่อกุปปธรรม โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี พระอรหันต์คงที่ คงที่ที่มันมีของมันไง มีแบบไม่มี ไม่มีแบบมี มันมี มันจะอธิบายได้ต่อคนที่มีความรู้จริงไง ถ้าความรู้จริง คนที่เข้าไปรู้จริงเห็นจริงอันนั้นทำไมจะอธิบายสิ่งที่เขารู้เขาเห็นไม่ได้ ไอ้พวกเรามันมืดบอด ไม่เคยเห็น แต่มีความเชื่อไง มีความเชื่อก็พยายามจะอธิบายทางวิชาการไง ยิ่งอธิบายมันก็ยิ่งห่างไกลธรรมะไง
แต่ถ้าเราศึกษามาแล้วนะ หุบปากเสีย นั่งลงแล้วกำหนดลมหายใจและลมหายใจออก ค้นคว้าในใจของเราไง หุบปากเสีย เราศึกษามาเพื่อประพฤติปฏิบัติ ศึกษามาเพื่อสอนเรา ศึกษามาเพื่อหัวใจดวงนี้ ไม่ได้ศึกษามาเพื่อสอนใคร ศึกษามาสอนคนอื่น สอนได้ง่ายๆ สอนใครก็สอนได้ไง แต่สอนตัวเองไม่ได้ ถ้าสอนตัวเองไม่ได้ เราจะทำของเรา
โลกนี้มันจะสุก มันจะสุกด้วยความแผดเผาของอุณหภูมิ นี่เหมือนกัน หัวใจของเราถ้าเรามีตบะธรรมๆ มันจะแผดเผากิเลสไง ถ้ามันจะแผดเผากิเลส มันจะมาจากไหน อุณหภูมิ ดูสิ มันเปลี่ยนแปลงของมันตลอดเวลา ดูสิ มีคนกระทำนั้นทำให้สภาวะแวดล้อมมันเปลี่ยนแปลงไป นี่ก็เหมือนกัน หัวใจของเราที่มันทุกข์มันร้อนอยู่ในหัวใจของเรา กิเลสตัณหาความทะยานอยาก สิ่งที่กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันครอบครัวของมารไง ครอบครัวของมารมันปกคลุมหัวใจของสัตว์โลกในวัฏฏะนี้นะ สัตว์โลกในวัฏฏะนี้อยู่ในครอบครัวของมาร มารมันครอบคลุมไว้หมดไง ถ้ามันครอบคลุม มันมีอวิชชาความไม่รู้ปิดบังตาไว้ไง ปิดบังตาไว้ ของกูๆ แล้วไม่มีอะไรสิ่งใดเป็นของกูเลย
นี่มาเสียสละๆ เสียสละของเราๆ เลยล่ะ เพราะเสียสละไปแล้วภาพความจำอันนั้นมันฝังลงที่ใจ เราเคยทำบุญไว้ที่ไหน เราเคยทำสิ่งใดไว้ เราเคยทำคุณงามความดีไว้ เราเคยให้จุนเจือใครไว้ เราจำได้หมดเลย นี่พันธุกรรมของจิตๆ เพราะอะไร เพราะมันระลึกถึงแล้วมันมีความสุขใจ ระลึกแล้วมันมีความภูมิใจ
แต่ถ้าเราไม่ได้เสียสละของเรา เราระลึกไม่ได้ เราไม่มีไง เราไม่ระลึก มันก็เหยียบย่ำทำลายตนเองไง มันก็มีแต่ความเจ็บช้ำน้ำใจไปไง แต่ถ้าเราระลึกถึงคุณงามความดีของเราที่เราได้ทำไว้ๆ อย่างน้อยมันก็อุ่นใจ นี่พันธุกรรมมันตัดแต่งอย่างนี้ มันตัดแต่งโดยการกระทำของเรา ถ้ามันตัดแต่งของเรา กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน กรรมดีของเรามันพยายามพัฒนาหัวใจของเราไง หัวใจที่มันทุกข์มันร้อน แล้วเราจะหาทางแก้ไข
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด
ธรรมมันเป็นอย่างไรล่ะ ธรรมมันเป็นอย่างไร ธรรมมันก็มีศีล สมาธิ ปัญญานี่ไง สิ่งที่เป็นศีล สมาธิ ปัญญาตัดแต่งหัวใจของเรานี่ไง ทำคุณงามความดีของเราไม่ต้องไปหวังให้ใครเห็น ไม่ต้องหวังให้ใครเชิดชู นั่งสมาธิภาวนาอยู่คนเดียวมันเจ็บปวดของเรา ไม่มีใครรู้กับเราหรอก เวลามันเจ็บปวดในหัวใจไม่มีใครรู้กับเราหรอก จะต้องให้ใครมาเมตตา มาเผื่อแผ่ความเจ็บปวดของเราไป ความเจ็บปวดของเรามันอยู่ที่ร่างกายของเรา อยู่ที่หัวเข่า อยู่ที่ในร่างกายเรา ความเจ็บปวดมันอยู่กับเรา ถ้าความเจ็บปวดอยู่กับเรา ทำความดีต้องให้ใครเชิดชู ประพฤติปฏิบัติต้องให้ใครเชิดชู
แต่ถ้าเรามีสติ มีสมาธิ มีปัญญาขึ้นมา ความเจ็บปวดนั้นมาจากไหน ก่อนนั่งมันไม่เห็นมี พอนั่งเสร็จแล้วเวลาจะทำคุณงามความดีมันแผดเผาตลอดเลย เห็นไหม โลกมันจะสุกแล้ว ไอ้นี่เวทนามันแผดเผาจนร่างกายจะมอดไหม้ไปแล้ว แล้วมันทำสิ่งใดไม่ได้เลย แต่ถ้าลุกขึ้นปั๊บ หายเลย เลิกจากภาวนาลุกขึ้นยืน หายหมดเลย อ้าว! เวทนาไปไหนแล้ว
เวลาทำคุณงามความดีมันกีดกั้นตลอด เวลาจะทำความชั่ว มันยุมันแหย่เลย เอาเลยๆ เอามันให้เต็มที่เลย แต่ถ้าทำคุณงามความดีนะ มันกีดขวางตลอดเลย นี่กิเลสมันเป็นอย่างนี้ กิเลสมันทำลายทุกๆ อย่าง หน้าที่ของกิเลสคือทำลายคุณงามความดี เขาสามัคคีรักกันก็ยุแหย่ให้เขาแตกกันเสีย เขาจะทำคุณงามความดีก็ยุแหย่ให้มันเลิกเสีย เขาจะทำอะไรมันยุแหย่เขาไปหมด
แต่ถ้าเป็นธรรมๆ เป็นธรรมขึ้นมา พอเวลาทำสิ่งใดก็ไม่มีใครไว้วางใจเรา ไม่มีใครไว้วางใจหรอก ถ้าไม่มีใครไว้วางใจนะ เราทำเพื่อเราไง ไม่ต้องไปคาดหมายกับใคร ทำคุณงามความดีเพื่อคุณงามความดี เพราะคุณงามความดีมันแตกต่างหลากหลายนัก เพราะจริตนิสัยของคน
เวลาครูบาอาจารย์ท่านสอนให้ภาวนา กรรมฐาน ๔๐ ห้อง การทำความสงบ ๔๐ วิธีการ ใครถนัดสิ่งใดให้ทำสิ่งนั้น ถ้าถนัดสิ่งใดทำสิ่งนั้นแล้วมันจะประสบความสำเร็จไง เราเห็นเขาทำแล้วประสบความสำเร็จ เราก็จะไปฝืนกับเขา เห็นฝรั่งกินขนมปังก็อยากกินขนมปังบ้าง ฝรั่งเขากินขนมปังเพราะเขาไม่มีข้าวกิน ภูมิอากาศเขาเป็นอย่างนั้น วัฒนธรรมของเขาเป็นอย่างนั้น ไอ้ของเรา ข้าวหุงหามากลิ่นหอมๆ ก็กินข้าวนี่แหละ นี่ก็เหมือนกัน กินข้าวแล้วมันมีความหอม มีความนุ่มปาก มีความสุข เราก็กินข้าวของเรา ทำไมต้องไปกินขนมปังเหมือนเขาด้วย
นี่ก็เหมือนกัน เห็นเขาทำคุณงามความดี เห็นเขาปฏิบัติ เราว่าจะได้ๆ เราจะไปเอากับเขา ไอ้นั่นมันเป็นวัฒนธรรมของเขา นั่นเป็นอำนาจวาสนาของเขา เป็นสิ่งที่เขาทำแล้วเขาได้ประโยชน์ แล้วได้ประโยชน์จริงหรือไม่จริงนั่นอีกเรื่องหนึ่งนะ
ถ้าครูบาอาจารย์ของเราเป็นจริง เพราะเวลาปฏิบัติจริง มันเป็นจริง มันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก มันเป็นสมบัติของเราไง มันเป็นความอบอุ่นในใจของเรา เราจะเอาความอบอุ่น ความสุขใจเราไปอวดใคร อวดใครไม่ได้หรอก ไอ้ที่อวดๆ นั่นน่ะเขาต้องมีเลศนัยแน่นอน
ฉะนั้น เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านไม่เคยอวดใคร หลวงตาท่านพูดประจำ ไม่เคยได้ยินหลวงปู่มั่นพูดแม้แต่คำเดียวว่าท่านเป็นพระอรหันต์ ท่านไม่เคยประกาศตนเลยว่าท่านเป็นพระอรหันต์ หลวงปู่มั่น คำว่า เป็นพระอรหันต์ ไม่เคยหลุดจากปากหลวงปู่มั่นเลย แต่หลวงปู่มั่นแสดงธรรมทะลุฟ้า ทะลุจักรวาลเลย ทุกคนฟังเทศน์แล้วยอมรับว่าหลวงปู่มั่นเป็นพระอรหันต์ แต่หลวงปู่มั่นไม่ได้บอกว่าท่านเป็นพระอรหันต์เลย
นี่ก็เหมือนกัน เราเห็นว่าเขาทำคุณงามความดีๆ มันจริงหรือ ความดีต้องอวดกันหรือ ความดีต้องมาครอบงำเราใช่ไหม แต่เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น หลวงตาท่านทำของท่าน ท่านไม่เคยครอบงำใคร ท่านทำของท่าน ท่านเป็นหัวหน้า ท่านเพียงแต่เป็นหัวหน้าฝูงโคพาฝูงโคนั้นขึ้นจากวังน้ำวน พาฝูงโคนั้นขึ้นฝั่ง ไม่พาฝูงโคนั้นลงไปวังน้ำวน ตายกันหมด ตายแล้วยังไม่รู้จักว่าตายนะ ยังชื่นชมว่าตายนั้นมีความสุขนะ นี่พูดถึงว่าถ้าเราเห็นเขาทำๆ มันจริงหรือ
นี่ไง ถ้ามันเป็นความจริงนะ เราต้องกาลามสูตร ไม่เชื่อใครทั้งสิ้น ถ้าเราทำแล้วได้ประโยชน์กับเรา เออ! จริง ถ้าเราทำ เออ! เขาอาบน้ำแล้วเย็น เราลองอาบดู เออ! เย็นจริงๆ เออ! อย่างนี้เชื่อ กาลามสูตร เชื่อเพราะการกระทำของเราสิ เราทำแล้วร่มเย็นไหม เราทำแล้วเป็นจริงไหม เราทำแล้วมันเกิดสัจธรรมในหัวใจของเราไหม ถ้ามันไม่จริง ครูบาอาจารย์ ถ้าเราจะถามปัญหาท่าน ทำไมเป็นอย่างนั้น ทำไมเป็นอย่างนั้น ครูบาอาจารย์ต้องแก้ได้ มันแก้ได้เพราะอะไร ถ้าคนผ่านไปแล้วนะ ใจนี้ จิตนี้กลั่นออกมาจากอริยสัจเหมือนกันทั้งนั้นน่ะ เวลามรรคผลอันเดียวกันทั้งนั้นน่ะ จะเดินมาวิธีการใดก็แล้วแต่ มันจะลงอันเดียวกัน ถ้าไม่ลงอันเดียวกันนะ มันต้องมีการโต้แย้ง มรรค ๔ ผล ๔ บุคคล ๘ โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล จะเดินสายไหนก็แล้วแต่ มันจะเหมือนกันหมด
ถ้าไม่เหมือนกันหมด ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตั้งเอตทัคคะ ๘๐ องค์ ๘๐ องค์นั้นไม่เหมือนกันเลย เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพานนะ พระอรหันต์ทั้งนั้นเลยนั่งล้อมรอบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ แล้วพระอุบาลีก็เป็นพระอรหันต์ เป็นเลิศทางวินัย ถามขึ้นมาว่าพระพุทธเจ้านิพพานหรือยัง พระอรหันต์นะ
แต่เวลาพระอนุรุทธะ พระอนุรุทธะเป็นเลิศในทางรู้วาระจิต พระอนุรุทธะบอก ยัง พระพุทธเจ้ายังไม่นิพพาน ตอนนี้พระพุทธเจ้ากำลังเข้าปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน เวลาถอยออกมา พระอนุรุทธะเป็นคนกำหนดจิตดูตลอด เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านิพพาน บัดนี้พระพุทธเจ้านิพพานแล้ว
นี่ความถนัดมันแตกต่างกัน ความถนัด เอตทัคคะคือความถนัด ความถนัด ๘๐ อย่าง แต่เวลาเรื่องอริยสัจ เรื่องอริยสัจคือมรรคผลนิพพานมันอีกเรื่องหนึ่ง มรรคผลนิพพานคือทุกคนต้องกำจัดกิเลสของแต่ละบุคคล ในจิตใจของแต่ละบุคคลมีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ในจิตใจของแต่ละบุคคลมีจริตนิสัยของคนที่ไม่เหมือนกันแตกต่างกันมา ในจิตใจของแต่ละคนสร้างเวรสร้างกรรมไม่เหมือนกัน คนเราเกิดมาเป็นพี่น้องกัน เป็นแฝด เกิดในไข่ใบเดียวกัน เกิดมานิสัยก็ไม่เหมือนกัน นิสัยคือมันเกิดจากจิต จิตนี้เป็นเรื่องของเรานะ เวลาเราเกิดในไข่ ในสเปิร์มของพ่อของแม่ พันธุกรรมของใจ พันธุกรรมของร่างกาย พันธุกรรมเป็นของพ่อของแม่ แต่จริตนิสัยเป็นของเราๆ เพราะของเรามันปฏิสนธิในไข่นั้น ในไข่นั้น เวลาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เขาจะย้อนกลับๆ ถ้าย้อนกลับขึ้นไป เราอาศัยจิตใจที่อยู่ในร่างกายนี้ เราก็จะพยายามประพฤติปฏิบัติ พยายามค้นหาหัวใจของเรา ถ้าค้นหาหัวใจของเรามรรคผลเกิดตรงนั้น มรรคผล วิธีการเกิดตรงนั้น
เรานั่งสมาธิภาวนาเกือบเป็นเกือบตายเพื่อค้นหาหัวใจของตน ถ้าใครค้นหาหัวใจของตนเจอ สมถกรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงาน สมถกรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงานที่จะรื้อภพรื้อชาติ ไม่ใช่เกิดจากสมอง ไม่ใช่เกิดจากความคิด ไม่ใช่เกิดจากใดๆ ทั้งสิ้น แล้วคนที่เป็นเท่านั้นถึงจะรู้ ไอ้คนไม่เป็นมันก็ปากเปียกปากแฉะไปนั่นแหละ ถ้าปากเปียกปากแฉะไป มันก็ชักนำกันไป
ฉะนั้น เวลาครูบาอาจารย์ สิ่งที่ว่าเวลาหลวงตาท่านวิตกวิจารณ์เรื่องนี้มาก วิตกวิจารณ์ว่าของจริงมันมีน้อย ครูบาอาจารย์ที่เป็นจริงมันมีน้อย ท่านจะบอกว่าเงินทองยังหาได้ง่ายๆ ถ้าเราไม่มีเงิน เราก็จะมองเห็นจากสร้อยจากแหวนของคนอื่น เรามองเห็นหมดแหละ แต่ครูบาอาจารย์หาได้ยากมาก ถ้าเป็นของจริงนะ
ถ้าของจริงมันจะชี้เข้ามาจากความจริง เป็นของจริงชี้หรือพูดสิ่งที่ว่าถ้าเป็นทางวัตถุ เป็นสิ่งที่มีค่าทางโลก ไม่มีค่าอะไรเลย แต่ถ้าทางปฏิบัตินะ เพชรนิลจินดาทั้งนั้น เวลาหลวงปู่เสาร์ท่านพูดแต่ละคำ นั่นล่ะพิกุลทองออกมาจากปากท่านเลยล่ะ ของมีค่าทั้งนั้น เพราะสิ่งนี้มันเป็นธรรมโอสถ มันจะไปแก้ไขโรคกิเลส แก้ไขโรคเวรโรคกรรม แก้ไขโรคที่ในหัวใจนั้น มันไม่ใช่แก้โรคร่างกายนี้ ฉะนั้น สิ่งที่สัจจะความจริงๆ มันถึงได้หายากไง
ทีนี้ครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นจริงท่านวิตกวิจารณ์เรื่องนี้มาก เพราะว่าผู้ที่จริงมันมีน้อยไง แต่มี แต่มี หมายความว่า ไอ้คนโกหกขนาดไหน คนรู้จริงเขารู้หมด ไอ้ที่โกหกมดเท็จกันอยู่มันเยอะแยะไปหมด แล้วโกหกมดเท็จกันเป็นกระแส เป็นกลุ่มเป็นก้อน แล้วไม่ให้ออกไปสังคมที่มันกว้างออกไป เพราะมันจะเกิดการตรวจสอบ มันจะอยู่อย่างนั้นแหละ
แต่ถ้าเป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีกำมือในเรา แบตลอด หลวงตา ครูบาอาจารย์ท่านเทศน์ที่ไหน ท่านเทศน์แล้วท่านให้พิสูจน์ตรวจสอบได้ตลอด มันต้องพิสูจน์ ต้องตรวจสอบ การพิสูจน์ตรวจสอบ ยิ่งตรวจสอบยิ่งสะอาดยิ่งบริสุทธิ์ ยิ่งตรวจสอบยิ่งสว่างไสว ยิ่งตรวจสอบ ทองคำมันไม่กลัวไฟ ไฟยิ่งเผามันยิ่งสุก ไฟยิ่งเผามันยิ่งดีไง นี่สัจธรรมมันเป็นแบบนี้
แต่เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันอยู่ที่จริตนิสัยของคน คนเราเข้าป่าหลงป่า ออกจากป่าแต่ละคนแสนทุกข์แสนยาก มันไม่ใครพานำออกจากป่าไง ป่ารกชัฏในหัวใจนี้ไง กิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจนี้ไง แล้วเราไม่สามารถพยายามพ้นออกจากป่าของเราได้ ครูบาอาจารย์ท่านพยายามชี้นำๆ ถ้าเราออกจากป่าของเราได้ เราจะระลึกถึงบุญของผู้นำนั้น เราจะระลึกถึงบุญคุณของผู้ที่พาเราออกจากป่านั้น ระลึกถึงบุญคุณอันนั้นน่ะ แต่ท่านช่วยอะไรบ้างล่ะ เราต้องขวนขวายทั้งนั้น เราต้องพยายามของเราทั้งนั้น นี่ไง ถ้าปฏิบัติมันทุกข์ยากอย่างนี้ ฟังธรรมๆ เพื่อเหตุนี้
มาวัดมาวา มาวัด มาวัดหัวใจของเราไง จริงๆ แล้วมันเป็นแค่นี้ จริงๆ แล้วมันเป็นที่พัฒนาหัวใจของเรานี่แหละ หัวใจของเราได้ยินได้ฟังขึ้นมาแล้วต้องคิด กลับไปต้องคิด อย่าเชื่อ แล้วเวลาไปดูหนังดูละครกันน่ะชอบ นี่ไง ถ้าเป็นนิยายธรรมะ นิยายธรรมะ โอ้โฮ! เศร้าโศก น้ำตาไหล แต่เวลาฟังธรรมจริงๆ ไม่รู้เรื่อง พูดอะไรก็ไม่รู้ ก็มันไม่รู้ไง มันถึงมืดบอดอยู่อย่างนี้ไง แต่ถ้ามันรู้ขึ้นมามันก็สว่างโพลงในใจไง ถ้ามันสว่างโพลงขึ้นมาในใจ นี่ไง ธาตุรู้ๆ หัวใจคือพลังงานที่มีชีวิต พลังงานที่ธาตุรู้ เวลาแร่ธาตุมันไม่มีชีวิต มันรู้อะไรไม่ได้ แต่ธาตุรู้ๆ มันเป็นพลังงาน แล้วมันมีชีวิต มันรู้ได้ มันเป็นสันตติ มันถึงเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไง มันถึงทะลุทะลวงไปได้ทุกอย่างไง
จิตนี้มันไม่เคยตายๆ ก็ความรู้สึกเราไม่เคยตาย ถ้าความรู้สึกเราเคยตาย เราเกิดมาเสมอกัน เกิดมาจากพ่อจากแม่เหมือนกัน นิสัยต้องเหมือนกัน สายการผลิต จะสินค้าชนิดใดมันต้องเหมือนกันเปี๊ยะ ไอ้นี่พ่อแม่ เกิดจากพ่อแม่เดียวกันเลย ลูกไม่เคยเหมือนกันสักคน นี่ไง ไอ้จิตนี้ ธาตุรู้ๆ ที่มันปฏิสนธิมันเกิดมาจากเวรจากกรรม ธรรมะสอนอย่างนี้ ถ้าสอนอย่างนี้ เราถึงต้องระลึกของเรา แล้วเราพยายามดูแลหัวใจของเรา
ชีวิตนี้มันมีค่า มีค่าที่ว่าเรามีสติมีปัญญา เราคิดถึงชีวิตของเรา ย้อนกลับไปชีวิตของเรา แล้วพยายามคอนโทรลชักนำให้ชีวิตของเราไปทางที่ดี ประพฤติปฏิบัติที่ดี ดีของเราคือดีอยู่ในบุญกุศล ดีของเราไม่ใช่ว่าดีของเราแล้ว อู้ฮู! ทุกคนจะเชิดหน้าชูตา ทุกคนจะมายกย่อง...ไม่ใช่ ดีของเราคือเราค้นหาความชั่วในใจเราไม่มี เราค้นหาความชั่ว ความคิดร้ายในใจเรา ค้นหามันไม่เจอ นั่นคือดี ดีคือเราทำความดีไม่เบียดเบียนใคร หาแต่ความคิดชั่วร้ายในใจเรา นี่คือความดีของเรา แล้วจะเป็นความดีที่เป็นอัตตสมบัติของใจดวงนี้ เอวัง